ฟังเพลงตอนวิ่ง จะทำให้คุณวิ่งได้นานขึ้น 

หลังจากเราได้ ผู้ว่ากทม.คนใหม่ ที่รักในการวิ่ง เห็นได้ว่า กีฬาการวิ่ง กลับมาเป็นที่สนใจ และเริ่มมีผู้คนออกมาวิ่งกันมากขึ้น ทั้งผู้ที่รักการวิ่งอยู่แล้ว และนักวิ่งน้องใหม่ ที่ได้แรงบันดาลใจจากผู้นำคนใหม่ในเมืองกรุง 

สำหรับนักวิ่งและนักกีฬาอาชีพส่วนใหญ่ จะมีเคล็ดลับที่ทำให้การวิ่งของพวเราสามารถใช้ระยะเวลาได้นานๆ และวิ่งได้ในระยะทางที่ไกล โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือย่อท้อต่อระยะทางเลย นั่นคือ การใช้เสียงเพลง โดยการฟังเพลงขณะวิ่งไปด้วยนั่นเอง 

ดังนั้นจึงน่าจะเป็นทริคที่ดีสำหรับนักวิ่งหน้าใหม่ หรือคนที่เริ่มจะหันมาออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ไม่ว่าจะวิ่งเพื่อจ็อกกิ้งเพื่อสุขภาพ วิ่งเพื่อควบคุมน้ำหนัก วิ่งเพื่อฝึกซ้อมร่างกาย โดยมีจุดมุ่งหมายเป็นนักกีฬา อย่างเช่น นักกีฬาวิ่งมาราธอน หรือแม้แต่การออกกำลังกายในฟิตเนสก็ตาม 

การวิ่งไปฟังเพลงไป หรือการฟังเพลงขณะออกกำลังกาย นอกจากจะช่วยสร้างความเพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยกระตุ้นความตื่นตัวของสมอง ช่วยลดความเหนื่อยล้า และความเพลิดเพลินจากเสียงเพลง จะทำให้วิ่งได้นานขึ้น ออกกำลังกายได้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เรามาดูกันว่า เสียงเพลง ช่วยให้คุณวิ่งได้ดีขึ้นอย่างไร 

1.ฟังก่อนวิ่ง

จากการวิจัยในปี 2014 พบว่าการฟังเพลงที่มีจังหวะเร็วก่อนการวิ่ง จะกระตุ้นให้สมองตื่นตัว และส่งต่อไปยังร่างกายให้มีความพร้อมที่จะวิ่ง โดยนักวิจัยได้ทำการทดสอบ ใช้เพลงที่มีจังหวะระหว่าง 110 – 150 bpm (Beats per minute)

เพิ่มแรงจูงใจในการออกกำลังกาย หลังจากทำการวิจัย เรื่องฟังเพลงก่อนวิ่งหรือก่อนออกกำลังกาย พบว่า เสียงเพลงจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการออกกำลังกาย รู้สึกตื่นตัว และกระปรี้กระเป่า มีแนวโน้มว่าจะออกกำลังกายได้มากขึ้น หรือวิ่งได้นานขึ้นกว่าเดิม

ทำให้ผ่อนคลาย ใจเย็น และมีสมาธิ

โดยเฉพาะหากได้ฟังเพลงที่มี BPM ในช่วง 80 – 115 จะช่วยลดความตึงเครียด และทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลงก่อนที่จะออกกำลังกายหรือทำการแข่งกีฬา ซึ่งก็มีนักกีฬาหลายคนที่มักจะฟังเพลงก่อนลงสนามแข่งขัน เช่น นักเทนนิส Serena Williams ที่เรามักจะเห็นเธอนั่งข้างสนาม โดยเสียบหูฟังอยู่เงียบๆคนเดียว ก่อนจะลงสนามแข่ง 

2.ฟังระหว่างวิ่ง

ได้มีการทำการทดสอบ โดยแบ่งนักวิ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยให้กลุ่มแรกฟังเพลงที่มีบีทระหว่าง 80 – 100 bpm และอีกกลุ่มฟังเพลงที่มีบีทระหว่าง 140 – 160 bpm ขณะวิ่ง โดยจำกัดระยะทางการวิ่ง 5 กิโลเมตร ปรากฏว่า นักวิ่งกลุ่มแรกที่ฟังเพลงจังหวะช้ากว่า กลับวิ่งได้เร็วกว่ากลุ่มที่ฟังเพลงเร็ว แต่ก็ไม่สามารถนำมาเป็นข้อสรุปได้ชัดว่า จังหวะเพลงจะมีผลต่อความเร็วในการวิ่ง เพราะหากผู้วิ่งมีเป้าหมาย ก็พยายามที่จะวิ่งให้เร็วอยู่แล้ว ส่วนถ้าใครนึกไม่ออกว่าเพลงที่มีจังหวะ 80 – 100 bpm มีน่าจะเป็นจังหวะแบบไหน เรายกตัวอย่างให้ เช่น เพลง Demons (Imagine Dragons) เป็นต้น 

วิ่งและออกกำลังกายได้มากขึ้น 

เพราะการฟังเพลงระหว่างวิ่ง หรือระหว่างออกกำลังกาย จะทำให้เราโฟกัสอยู่กับเสียงเพลง แทนที่จะไปโฟกัสกับความเหนื่อย ทำให้การฟังเพลงตอนวิ่ง ยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และพัฒนาระดับการวิ่ง ให้วิ่งได้นานขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยว่า การฟังเพลงขณะออกกำลังกาย ช่วยลดคลื่นธีต้า (Theta waves) ซึ่งเป็นคลื่นชนิดความถี่ 4-7 เฮิร์ต (Hz) ช่วยระงับอาการเมื่อยล้าต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะ การเลือกเพลงที่มี BPM หรือบีทเพลงที่เหมาะกับการวิ่งของแต่ละคน จะยิ่งช่วยให้รู้สึกเหนื่อยน้อยลง

ปรับอารมณ์ในระหว่างออกกำลังกาย

จังหวะและโทนเสียงของเพลง จะส่งผลต่อการรับรู้และอารมณ์ของผู้วิ่งได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้วิ่ง หรือคนที่กำลังออกกำลังกายได้อินและรู้สึกไปกับเพลง เหมือนเป็นการบูสอารมณ์ร่วม และกระตุ้นความพร้อมให้กับร่างกายก่อนทำการวิ่ง 

ป้องกันอาการบาดเจ็บ

เพราะจังหวะของเพลงจะช่วยปรับอัตราการก้าวให้ตรงและลงจังหวะพอดีกับเสียงเพลง เป็นการช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างวิ่งหรือออกกำลังได้ และได้มีงานวิจัยออกมารองรับอีกด้วยว่า เพลงที่มีบีท ช่วง 130 – 200 BPM ช่วยให้วิ่งได้ตรงตามเป้าหมาย แต่สำหรับใครที่ต้องการพัฒนาฝีเท้าและอัตราการก้าวให้ได้ระดับที่ดี ให้เลือกเพลงบีทช่วง 160 – 180 BPM ก็จะเหมาะมาก 

3.ฟังหลังวิ่ง

หลายคนที่จบจากการวิ่ง หรือการออกกำลังกาย ก็รีบปิดเพลง หรือเอาหูฟังเก็บทันที แต่การที่ยังคงฟังเพลงแม้จะวิ่งเสร็จแล้ว แต่เปลี่ยนจังหวะบีท ให้อยู่ช่วงระหว่าง 100 – 120 bpm ที่เป็นช่วงร่างกายกำลัง cool down หรือร่างกายกำลังปรับตัว จากการวิ่งกลับมาสู่ภาวะปกติ จะช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจกลับเป็นปกติได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเพลงที่มีจังหวะ 100 – 120 bpm เช่น เพลง Let Me Love You ของ DJ Snake หรือ เพลง ‘Don’t Start Now ของ Dua Lipa เป็นต้น 

เสียงเพลง นอกจากจะช่วยทำให้คุณวิ่งได้นานขึ้น แต่เวลาวิ่งฟังเพลงอะไรที่ทำให้คุณวิ่งได้นานขึ้น นั่นจะบ่งบอกว่า มันคือ BPM ที่เหมาะกับการวิ่งของคุณได้ด้วย